เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2566 ผมได้รับเชิญให้ไปพูดในงาน SITE 2023 ที่จัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA ในหัวข้อ The Rise of The Festival Economy โดยมีโจทย์ว่าให้พูดเกี่ยวกับการพัฒนางานเทศกาลเชิงวัฒนธรรมให้กลายเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ผมก็เลยนึกถึง เทศกาลสงกรานต์ ที่รัฐบาลและคนไทยทั่วไปเชื่อว่าสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติและสร้างรายได้จำนวนมหาศาลให้กับประเทศ ผมจึงสงสัยว่ามันจริงแค่ไหน ซึ่งบทความนี้จะได้นำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจให้อ่านกันครับ
ชาวต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยเมื่อไรบ้าง?
จากจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยในแต่ละเดือนระหว่าง พ.ศ. 2540-2566 (ค.ศ. 1997-2023) จากฐานข้อมูลของกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา 1 จะสามารถเห็นได้ว่ามี pattern บางอย่างอยู่ คือจำนวนนักท่องเที่ยวจะมีเนิน peak สองช่วง คือในช่วงฤดูหนาวระหว่างเดือนธันวาคม-มกราคม และรองลงมาในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ซึ่งเป็นฤดูฝน

สงกรานต์อยู่ในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นเดือนก่อนที่จำนวนนักท่องเที่ยวจะต่ำที่สุดของปี ทำให้ผมคิดว่าสงกรานต์ไม่ใช่ตัวแปรที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวเมืองไทยหรือไม่? แล้วอะไรบ้างคือตัวแปรสำคัญที่ทำให้คนต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย?
ฤดูกาลและสภาพอากาศเป็นเหตุผลที่ชาวต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยหรือไม่?
สำหรับประเทศไทย คนไทยส่วนใหญ่คงเห็นพ้องต้องกันว่าหน้าหนาวคือช่วงเวลาที่อากาศดีที่สุด (ไม่รวมคุณภาพอากาศนะ) ทั้งเย็นสบาย แดดดี ฝนไม่ค่อยตก แล้วคนไทยเองก็น่าจะเที่ยวกันช่วงนี้เยอะที่สุด อีกช่วงที่คนไทยเดินทางภายในประเทศเยอะ ๆ ก็ช่วงสงกรานต์ที่คนกลับบ้านไปหาครอบครัวญาติพี่น้อง ซึ่งพอจะเห็นได้จากชุดกราฟด้านล่างนี้ว่าปริมาณการเดินทางท่องเที่ยวกับสภาพอากาศที่ดี (ไม่ร้อน ฝนไม่ตก ไม่มีมรสุม) มีความสัมพันธ์กันโดยเฉพาะในภาคใต้ และภาคเหนือกับตะวันตก ที่คนไปเที่ยวทะเล และขึ้นภูเขาตามลำดับ แต่ภาคอื่นที่เหลือนั้นอาจไม่เห็นความสัมพันธ์ที่ชัดเจนแบบเดียวกันได้
หมายเหตุ ข้อมูลสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์นี้เป็นของ ค.ศ. 2019 ก่อนช่วงเหตุการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 เนื่องจากน่าจะเป็นข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้ดีกว่า เพราะขณะนี้เองจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ยังไม่ได้กลับมาเท่าเดิมเลย

Source: https://weather-and-climate.com/, https://tradingeconomics.com/thailand/tourist-arrivals
ส่วนชาวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในเมืองไทยเองก็ดูจะคล้าย ๆ กัน แต่สำหรับกรุงเทพฯ กลับมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาค่อนข้างมากในช่วงหน้าฝน และมีกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากผิดปรกติในเดือนตุลาคม ทำให้ผมสงสัยว่าคนเหล่านั้นคือคนประเภทไหนกัน?

Source: https://weather-and-climate.com/, https://tradingeconomics.com/thailand/tourist-arrivals
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เห็นชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งเมื่อนำข้อมูลสองอย่างด้านบนมาเทียบกัน คือ คนต่างชาติมักจะมุ่งไปที่กรุงเทพฯ ภาคใต้ และภาคตะวันออก (พัทยาเป็นหลัก) แต่สำหรับคนไทยนั้นค่อนข้างกระจายตัว และเมื่อนำมาเทียบกัน ก็จะสามารถเห็นเป็นกราฟ Pie Chart ได้ดังนี้

นักท่องเที่ยวต่างชาติดูจะชอบมาเที่ยวทะเลเมืองไทย เพราะจุดหมายที่สถานที่ท่องเที่ยวหลักเป็นทะเลและชายหาดก็คือภาคใต้ 34.5% และภาคตะวันออก 15.0% รวมกันแล้วเป็น 49.5% เลยทีเดียว ซึ่งการจะบอกว่าทะเลสวย ๆ มีแค่ในประเทศไทยก็คงจะไม่ใช่ ผมก็เลยคิดว่าอาจจะเป็นเพราะช่วงหน้าหนาวของไทยเป็นช่วงหยุดยาวของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาติตะวันตกที่หยุดช่วงปลายปีและคริสต์มาสกันหรือไม่ แล้วประเทศอื่น ๆ ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลที่สวยงามในประเทศเพื่อนบ้านที่จะเป็นคู่แข่งของไทยได้ มีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวกันบ้างหรือไม่ อย่างเช่นเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งจากการค้นคว้าก็ได้พบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะไปเที่ยวเกาะบาหลีมากที่สุดช่วงที่อากาศดีที่สุด (ไม่ร้อน ฝนไม่ตก ไม่มีมรสุม) ระหว่างเดือนมิถุนายน-ตุลาคม กับช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งค่อนข้างตรงกับวิสัยของชาวออสเตรเลียที่จะหยุดงานช่วงปลายปีและคริสต์มาส ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มากที่สุด และนับเป็น 26.23% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด

Source: Phuket: https://weather-and-climate.com/, https://tradingeconomics.com/thailand/tourist-arrivals;
Bali: https://disparda.baliprov.go.id/wp-content/uploads/2019/12/2.-DISTRIBUSI-s.d.-Nop-2019.pdf, https://gitnux.org/bali-tourism-statistics/
พอเห็นดังนี้ ก็เลยได้มาพบว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีโซนภูมิอากาศ 2 โซนด้วยกัน คือ ตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ตอนใต้ กับตะวันตกเฉียงเหนือที่มีไทย เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา เวียดนาม และฟิลิปปินส์ตอนเหนือ ซึ่งจะมีสภาพอากาศตรงข้ามกัน คือ ถ้าฝั่งหนึ่งมีมรสุม อีกฝั่งจะแล้งนั่นเอง


Source: Annual Cycle of Southeast Asia—Maritime Continent Rainfall and the Asymmetric Monsoon Transition C-P. Chang, Zhuo Wang, John McBride, and Ching-Hwang Liu, 15 Jan 2005
ทำให้นำมาสู่คำถามถัดมาว่า คนชาติไหนมาเที่ยวเมืองไทยเมื่อไรบ้าง?
คนชาติไหนมาเที่ยวเมืองไทยเมื่อไรบ้าง? และไปเที่ยวที่ไหนบ้าง?
ผมมาลองแยกกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติออกเป็นทวีปหรือภูมิภาค และใช้ Chat GPT ช่วยหาข้อมูลว่าคนในภูมิภาคเหล่านั้นมีวันหยุดที่ใช้ในการท่องเที่ยวเมื่อไรกันบ้าง ซึ่งก็พบว่าคนทั่วโลกมักท่องเที่ยวช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แต่นอกเหนือจากนั้นก็คือวันหยุดยาวของแต่ละประเทศและวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งสามารถสรุปได้ดังกราฟด้านล่าง

Source: Guest Arrivals at Accommodation Establishments (2019) by mots.go.th; Travel periods of different regional peoples searched by Chat GPT.
- กลุ่มที่ 1: ชาวเอเชีย
- ชาวเอเชียตะวันออกที่มีการหยุดตรุษจีน หรือปีใหม่ตามจันทรคติ (Lunar New Year) จะท่องเที่ยวมากที่สุดช่วงนี้
- ชาวอาเซียน โดยเฉพาะชาวมาเลเซียที่เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด จะท่องเที่ยวช่วงหยุดยาวทางศาสนาอิสลาม อิดิลอัฎฮา (Eid al‑Adha) ซึ่ง ค.ศ. 2019 จะตรงกับวันที่ 11 ส.ค. และวันหยุดยาวช่วงวันมาเลเซีย ซึ่งตรงกับวันที่ 16 กันยายนของทุกปี
- ชาวอินเดียมักจะเที่ยวกันทั้งครอบครัว จึงมักท่องเที่ยวกันในช่วงปิดเทอมเดือนเมษายน-พฤษภาคม และคาดว่าจะเที่ยวช่วงปีใหม่ของชาวอินเดียที่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู ซึ่งจะเป็นช่วงเดือนเมษายนอีกด้วย
- กลุ่มที่ 2: ชาวตะวันตก
- นอกจากวันหยุดคริสต์มาสที่ไปต่อกับช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ชาวตะวันตกจะท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดอีสเตอร์ (Easter) ของศาสนาคริสต์ ซึ่งมักจะอยู่ในช่วงเมษายน และนอกจากนั้นก็จะมีความนิยมในการท่องเที่ยวช่วงระหว่างกลาง Peak Season และ Low Season ของฤดูท่องเที่ยวของชาวตะวันตกที่เรียกกันว่า Shoulder Season ซึ่งอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ (เมษายน) และฤดูใบไม้ร่วง (ตุลาคม) ที่ราคาตั๋วเครื่องบินจากประเทศเหล่านั้นมักไม่แพงนัก
- กลุ่มที่ 3: ชาวตะวันออกกลาง และอิสราเอล
- คนตะวันออกกลางส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม จึงมีการท่องเที่ยวช่วงหยุดยาวทางศาสนาอิสลาม อิดิลอัฎฮา (Eid al‑Adha) ซึ่ง ค.ศ. 2019 จะตรงกับวันที่ 11 ส.ค. ผนวกกับที่ตรงกับช่วงปิดเทอม ทำให้ครอบครัวชาวตะวันออกลางเดินทางท่องเที่ยวมากในช่วงดังกล่าว
- อิสราเอล แม้จะอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน แต่ชาวอิสราเอลส่วนใหญ่นับถือศาสนายูดาห์ หรือศาสนายิว ซึ่งมีวันหยุดทางศาสนาที่ต่างกับชาวมุสลิม โดยมีวันหยุดยาวปีใหม่ยิว และเทศกาลสุโคท (Sukkot) อยู่ในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม
- กลุ่มที่ 4: ชาวอัฟริกัน และอื่น ๆ
- ทวีปอัฟริกามีอยู่มากมายหลายประเทศ แต่เนื่องจากแหล่งข้อมูลไม่ได้มีการแจกแจง และมีจำนวนนักท่องเที่ยวไม่มากนัก จึงไม่สามารถวิเคราะห์ได้ถึงเหตุผลที่มาท่องเที่ยวเมืองไทย
แต่ผมก็ยังไม่หยุดความเนิร์ดไว้แค่นั้น และได้ลองทำตาราง Heat Map นักท่องเที่ยวของแต่ละชาติ และภาคของไทยที่เขาไปท่องเที่ยว ดังแสดงในภาพด้านล่าง

ซึ่งก็จะพบรายละเอียดมากขึ้น เช่น
- ชาวไทย
- เที่ยวภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือช่วงฤดูหนาว
- เที่ยวภาคใต้ช่วงหลังปีใหม่
- ชาวอาเซียน
- เที่ยวกรุงเทพฯ ตลอดทั้งปี
- ชาวมาเลเซียนิยมเที่ยวภาคใต้ เนื่องด้วยอยู่ใกล้กัน
- ชาวลาวนิยมเที่ยวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องด้วยอยู่ใกล้กัน
- ชาวเอเชีย
- เที่ยวกรุงเทพฯ ตลอดทั้งปี
- เที่ยวภาคตะวันออก (โดยเฉพาะพัทยา) ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะชาวเกาหลีใต้และไต้หวัน
- ชาวยุโรป
- เที่ยวภาคใต้ตลอดทั้งปี แต่มากที่สุดในช่วงฤดูหนาว
- ชาวรัสเซียชอบเที่ยวทั้งภาคใต้และภาคตะวันออก (โดยเฉพาะพัทยา)
- ชาวอเมริกาเหนือ และออสเตรเลีย
- เที่ยวกรุงเทพฯ และภาคใต้
- ชาวอินเดีย
- เที่ยวกรุงเทพฯ ภาคตะวันออก (โดยเฉพาะพัทยา) และภาคใต้
- ชาวตะวันออกกลาง
- ส่วนใหญ่เที่ยวแค่กรุงเทพฯ ในช่วงวันหยุด อิดิลอัฎฮา (Eid al‑Adha) ซึ่งอยู่ในเดือนสิงหาคมของ ค.ศ. 2019
- ชาวอิสราเอล
- นอกจากเที่ยวกรุงเทพฯ เกือบตลอดทั้งปีแล้ว จะชอบเที่ยวภาคใต้ในฤดูหนาว
- ชาวอัฟริกัน
- ส่วนใหญ่เที่ยวกรุงเทพฯ และภาคใต้

จาก Heat Map ผมสังเกตเห็นว่ามี data ที่ดูแปลกและน่าสนใจอยู่ 2 จุด คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งปรกติแล้วไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกไปเที่ยวมากนัก แต่ปรากฏว่าในเดือนตุลาคมกลับมีนักท่องเที่ยวชาวสวิสเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และออสเตรเลียมากกว่าเดือนอื่น ๆ ผมจึงพยายามหาว่ามีเหตุการณ์ใดที่น่าจะดึงดูดนักเที่ยวเหล่านั้นไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือบ้างหรือไม่ และจากการเจาะข้อมูลลึกลงไปอีก ก็ทำให้พบว่าจังหวัดที่คนเหล่านี้ไปนั้น คือ บุรีรัมย์ และสุรินทร์
จากข้อมูลที่พอจะหาได้ ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่พวกเขาไปเที่ยวงานแข่งเรือยาว “ศึกเรือยาวชิงจ้าวสายน้ำ ปีที่ 12” เพราะเป็นงานใหญ่งานเดียวในทั้ง 2 จังหวัดในช่วงเวลาดังกล่าว ดังแสดงในภาพด้านล่าง

Source: https://www.mots.go.th/news/category/618, Chat GPT, Thai PBS
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผมจะเดาถูกหรือผิด ผมคิดว่าสิ่งที่ภาครัฐควรทำในการส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศไทยของชาวต่างชาติ คือ การรวบรวม ศึกษา และวิเคราะห์ข้อมูล ก่อนที่จะใช้งบประมาณในการทำโครงการอะไร สื่อสารเพื่อดึงดูดใครมาเที่ยว แล้วเขาสะดวกจะมาไหม?
สรุป
ผมขอปิดบทความนี้ด้วยกรณีตัวอย่างจากข่าวนี้ว่า นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านเฟสติวัล ซึ่งกำลังขออนุมัติงบประมาณประมาณ 1,009 ล้านบาท ไปดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูล การสื่อสาร และการผลักดันเฟสติวัลต่าง ๆ ได้กล่าวว่า ใน พ.ศ. 2567 คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ จะให้มีการจัดเตรียมกิจกรรมไว้กว่า 10,000 กิจกรรม 365 วันทั่วประเทศไทย โดยวาระแห่งชาติคือการจัดกิจกรรม “มหาสงกรานต์ World Water Festival” ให้ประเทศไทยเป็นเจ้าแห่งสงกรานต์โลก 2

ผมขอแสดงความคิดเห็นว่า ก่อนที่รัฐบาลจะเริ่มใช้งบประมาณก้อนดังกล่าว อยากให้ผู้รับผิดชอบได้จัดตั้งทีมงานที่รวบรวม ศึกษา และวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่เขาอยากเที่ยว เหตุผลเบื้องหลังที่ทำให้เขาเลือกประเทศไทยแทนที่จะเป็นประเทศอื่น ๆ พฤติกรรมการใช้จ่าย การทำกิจกรรม รวมทั้งช่องทางในการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายที่จะเกิดประสิทธิภาพที่สุด เพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและประชาชนไทยจริง ๆ ด้วยครับ