คนทั่วไปหลาย ๆ คนอาจเห็นว่างานศิลปะในแขนงต่าง ๆ เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ไม่ใช่ปัจจัยสี่ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต และรัฐบาลเองก็มีประเด็นเร่งด่วนอื่น ๆ ในการใช้งบประมาณ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน ระบบการดูแลสุขภาพ ความปลอดภัย ฯลฯ ซึ่งผมไม่ได้เห็นแย้ง แต่ต้องการที่จะนำเสนอมุมมอง พร้อมอธิบายเหตุและผลในเชิงวิชาการ เพื่อหวังว่ารัฐบาลจะสามารถเพิ่มการลงทุนและสนับสนุนเงินอุดหนุนในศิลปะและการสร้างสรรค์ให้มากขึ้นได้ โดยเฉพาะกับผู้สร้างผลงานรายเล็กรายย่อย
[เนื้อหาในบทความนี้ส่วนใหญ่แปลมาจากงานที่ผู้เขียนได้เขียนไว้ในเว็บไซต์ BangkokMusicCity.com เมื่อ 26 มิ.ย. 2563]
1. ศิลปะเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย
หลักคำสอนของศาสนาพุทธเรื่องปัจจัยสี่ หมายถึงความจำเป็นขั้นพื้นฐาน 4 อย่าง คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค มีความคล้ายคลึงกับความต้องการทำกายภาพ (Physiological needs) ของ ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ (Maslow’s Hierarchy of Needs) ที่มีอาหาร น้ำ ความอบอุ่น และการพักผ่อน (food, water, warmth, rest) แล้วคนที่ได้เรียนรู้เรื่องปัจจัยสี่ก็อาจจะคิดว่านอกเหนือจากนี้ล้วนเป็นสิ่งไม่จำเป็นในชีวิต รวมถึงศิลปะด้วย แต่ผมคิดว่าอาจเป็นเพราะเรามองว่ายารักษาโรคมักหมายถึงโรคและความป่วยไข้ทางกายภาพ ทำให้เรามองข้ามความป่วยทางจิตเวช รวมทั้งการรักษาสุขภาพจิตด้วย


หากขอผมลองถามสักนิด ว่าคุณเคยมีวันที่รู้สึกแย่ ๆ แล้วรู้สึกดีขึ้นเพราะได้ฟังเพลงไหม? คุณเคยมีความรู้สึกอยากสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาซักอย่างหลังจากได้ชื่นชมงานศิลปะไหม? คุณเคยได้รับแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพราะได้ดูหนังดี ๆ ซักเรื่อง หรืออ่านหนังสือดี ๆ ซักเล่มไหม? ผมพยายามค้นคว้าว่ามีงานวิจัยที่ยืนยันได้ว่าศิลปะเป็นยารักษาโรค แต่มันก็มีการนำดนตรีมาใช้ในการรักษาโรคบางอย่าง เช่น ดนตรีบำบัด (music therapy) และการช่วยให้ผลลัพธ์การรักษาด้านสุขภาพในทารกคลอดก่อนกำหนด และผู้ที่มีภาวะซึมเศร้ากับโรคพาร์กินสัน (Music as medicine, Amy Novotney, American Psychological Association, November 2013)
เพราะฉะนั้นผมคิดว่า หากเรามองศิลปะในมุมมองของยารักษาโรค เราน่าจะสามารถยกระดับความสำคัญของมันให้สูงขึ้นในกระบวนการความคิดของเรา
2. ศิลปะไม่ใช่ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์
มนุษย์ได้สร้างสรรค์งานศิลปะมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ซึ่งมีหลักฐานอย่างเช่นภาพวาดในถ้ำที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบมีอายุอย่างน้อย 44,000 ปี ทว่าศิลปะนั้นไม่ได้กลายเป็นสินค้าหรือมีประโยชน์เชิงพาณิชย์จนเมื่อไม่กี่ร้อยกี่พันปีมานี่เอง ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับระยะเวลาที่มนุษย์มีชีวิตอยู่บนโลก
ดนตรีและงานศิลปะอื่น ๆ มักเป็นการสร้างขึ้นโดยคนในชุมชนเพื่อคนในชุมชน เป็นสิ่งที่ถูกใช้ในงานสังคม พิธีกรรม กลายเป็นขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมของคนกลุ่มนั้น ๆ เป็นเสมือนกาวที่หล่อหลอมและยึดสังคมหนึ่ง ๆ เข้าด้วยกัน แต่เมื่อสังคมมีขนาดใหญ่ขึ้นและซับซ้อนมากขึ้น ทักษะและหน้าที่ของผู้คนก็มีความจำเพาะและเชี่ยวชาญเฉพาะทางมากยิ่งขึ้น จนศิลปะกลายเป็นบริการหรือผลิตภัณฑ์ และก่อให้เกิดอาชีพ “ศิลปิน” นั่นเอง
ในเมื่อศิลปะกลายเป็นบริการหรือผลิตภัณฑ์ มันจึงเข้าสู่ระบบทุนนิยมไปโดยปริยาย และจำต้องตามกฎเกณฑ์ของการแข่งขันทางการค้าดังเช่นผลิตภัณฑ์และบริการอื่น ๆ ทั่วไป ซึ่งการทำให้ราคาต้นทุนต่อหน่วยต่ำที่สุดนั้นมักจะต้องเกิดจากการทำสินค้าแบบเดียวกันในจำนวนที่มากที่สุด และขายให้คนจำนวนมากที่สุดด้วย ซึ่งในทฤษฎีการตลาดจะเรียกว่า “การประหยัดต่อขนาด” หรือคำภาษาอังกฤษว่า Economy-of-Scale ซึ่งผลที่เกิดขึ้นก็คือ สินค้าแบบเดียวกันจำนวนมากในราคาถูกอาจจะทำให้เกิดการผูกขาด และอาจส่งผลถึงความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และความคิดสร้างสรรค์ที่ลดลงด้วยนั่นเอง
ตามหลักการของพาเรโต (Pareto principle) ผลที่เกิดขึ้นประมาณ 80% มักเกิดจากต้นเหตุหลักเพียง 20% ของต้นเหตุทั้งหมด ซึ่งผมคิดว่าเป็นหลักการที่สามารถใช้เป็นพื้นฐานในการอธิบายวิธีการกระจายความมั่งคั่งในสังคมทุนนิยมได้เช่นกัน กล่าวคือ 20% ของผู้ร่ำรวยที่สุดถือครองความมั่งคั่ง 80% ของประชากรทั้งหมด แต่แล้วผมก็พบว่าในความเป็นจริงนั้น ความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นอาจจะมากกว่านั้น ดังที่แสดงในวิดีโอด้านบนนี้

หากเราปล่อยให้ผู้บริโภคได้ตัดสินใจเองว่าเขาต้องการซื้ออะไร (หรือในความเป็นจริงแล้ว คือสิ่งที่เขาคิดว่าต้องการซื้ออันสืบเนื่องมาจากกลไกทางการตลาด) มันมักจะเป็นธรรมชาติที่ผู้บริโภคจะเลือกซื้อสิ่งที่ถูกผลิตโดยบริษัทขนาดใหญ่ รวมทั้งในตลาดดนตรีด้วย อย่างเช่นสัดส่วนการครองตลาดของอุตสาหกรรมดนตรีนั้น บริษัทค่ายเพลงที่ใหญ่ที่สุด 3 อันดับนั้น เมื่อรวมกันแล้วเป็นถึง 70% ของอุตสาหกรรมสิ่งบันทึกเสียงทั้งหมดเลยทีเดียว
3. สังคมเจริญรุ่งเรืองได้จากศิลปะ
ผมหวังว่าคุณผู้อ่านจะเชื่อผมได้หากผมบอกว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นเชื้อเพลงของนวัตกรรม ซึ่งผมมีผลงานวิจัยที่สนับสนุนเรื่องนี้อยู่ คือ Creativity: the fuel of innovation โดย M J Gilmartin
และผมหวังว่าคุณผู้อ่านจะเชื่อผมได้หากผมบอกว่าความสุขของเรานั้นสามารถส่งเสริมให้เกิดผลิตผลการทำงานที่สูงขึ้น ซึ่งงานวิจัย Happiness and productivity: Understanding the
happy-productive worker โดย DANIEL SGROI ได้สรุปว่าพนักงานที่มีความสุขจะมีผลิตภาพการทำงานที่สูงขึ้นประมาณ 20%
แล้วหากผมบอกว่าความสุขเพียงอย่างเดียวไม่สามารถนำไปสู่การเพิ่มผลผลิตได้หากไม่มีความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ผมก็หวังว่าคุณจะเชื่อผมได้เช่นกัน
โดยส่วนแล้ว ผมเชื่อว่าความสุขเป็นปัจจัยหนึ่งที่ขับเคลื่อนความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งบางคนอาจโต้แย้งว่า มีการศึกษาที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างภาวะซึมเศร้าและความคิดสร้างสรรค์ที่พบว่าศิลปินระดับโลกหลายคนเป็นโรคซึมเศร้า แต่ผมคิดว่ามันจะเป็นความสร้างสรรค์ที่ไม่ยั่งยืน อีกทั้งสำหรับคนปรกติทั่วไป มันค่อนข้างยากที่จะมีความสุขได้หากไม่สามารถเข้าถึงความต้องการขั้นพื้นฐาน (อ้างอิงทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ท่ีกล่าวแล้วด้านบน) ซึ่งทำให้ผมเขียนแผนภาพแรกดังแสดงด้านล่างนี้

ผมคิดว่าสังคมจะสามารถสร้างผลิตผลได้อย่างยั่งยืนได้นั้น ประชากรของสังคมนั้น ๆ ควรสามารถเข้าถึงปัจจัยสี่ ได้มีชีวิตที่ปลอดภัย ได้รับความรักความอบอุ่นและความมั่นใจในตัวเอง และมีความภาคภูมิใจในตนเองได้ พวกเขาจะสามารถพัฒนาชีวิตไปสู่ความสุข ความสร้างสรรค์ ความมีนวัตกรรม และกลายเป็นสังคมผลิตภาพสูงได้
แต่แล้วผมก็มาพบการศึกษาโดยนักจิตวิทยา Seligman, Steen, Park, & Peterson ว่าความสุขนั้นเกิดได้จาก 3 สิ่งด้วยกัน คือ ชีวิตที่สามารถมีความเพลิดเพลินสนุกสนานได้ทุกวัน (the pleasant life) ชีวิตที่ดีที่เกิดได้จากการใช้ความรู้ความสามารถของตนในเชิงสร้างสรรค์ (the good life) และชีวิตที่มีความหมายอันเกิดจากการทำสิ่งดี ๆ แก่ผู้อื่น (the meaningful life)

หลังจากที่วิเคราะห์ 3 องค์ประกอบแห่งความสุขแล้ว ผมรู้สึกว่ามันคือวัฏจักรของการให้และการรับ (a cycle of taking and giving back) ยกตัวอย่างเช่น หากความเพลิดเพลินจากการฟังดนตรี (the pleasant life) ทำให้มีกำลังใจในการทำงานที่ดี (the good life) ก็จะสามารถทำให้มีรายได้ที่จะจุนเจืออาชีพนักดนตรีที่ทำให้ชีวิตเรามีความเพลิดเพลินได้ (the meaningful life) วนเวียนกลายเป็นวัฎจักรที่ยั่งยืนได้
แต่แล้วทำไมนักดนตรีและศิลปินส่วนใหญ่ถึงไม่มีรายได้และอาชีพที่มั่นคงล่ะ? เป็นเพราะรายได้ที่นักดนตรีได้รับจากสังคมนั้นไม่เพียงพอใช่หรือไม่? ซึ่งจากที่ผมเขียนในข้อที่ 1. ว่าอาจเป็นเพราะคนทั่วไปเห็นว่าศิลปะไม่ใช่ปัจจัยสี่ จึงไม่จำเป็นต่อชีวิต และกลายเป็นว่าคุณค่าของดนตรีและศิลปะไม่ควรสูงนัก และจากข้อ 2. ที่ระบบทุนนิยมทำให้ทุกสินค้าและบริการที่คนส่วนใหญ่ใช้นั้นราคาไม่แพง
จากเหตุผลเหล่านี้ ทำให้ผมคิดว่าควรมีระบบการสนับสนุนทางการเงินแก่ศิลปินทั้งหลายให้สามารถมีชีวิตที่ดีพอที่จะสร้างสรรค์ผลงานให้แก่ประชาชนที่ต้องการงานศิลปะเหล่านั้นได้ โดยคำตอบหนึ่งในใจของผมคือการช่วยเหลือโดยรัฐบาลนั่นเอง โดยผมจะชี้แจงว่าความคุ้มค่าที่รัฐบาลจะได้รับจากการลงทุนในศิลปะนั้นคืออะไรเท่าใดบ้าง
4. รัฐบาลได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากศิลปะ
จากผลการวิจัยของ สมาคมการค้าอุตสาหกรรมสิ่งบันทึกเสียงแห่งสหราชอาณาจักร หรือ British Phonographic Industry (BPI) พบว่าจากการที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรลงทุนในโครงการ Music Export Growth Scheme (MEGS) ผ่านกรมการค้าระหว่างประเทศ (Department for International Trade) ระหว่าง ค.ศ. 2014-2019 เป็นจำนวนเงิน 2.6 ล้านปอนด์นั้น สามารถสร้างเงินหมุนเวียนถึง 10 เท่าจากการลงทุน นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างเช่นงาน SXSW ที่เป็นงานสัมมนาธุรกิจและเทศกาลดนตรีโชว์เคสที่แม้ไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลเลยนั้น ใน ค.ศ. 2019 สามารถสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจท้องถิ่นถึง 355.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทำให้รัฐบาลท้องถิ่นเก็บภาษีจากโรงแรมเพียงอย่างเดียวได้ถึงกว่า 1.9 ล้านเหรียญ
ในปัจจุบันนี้ แม้ยังไม่มีการวิจัยและศึกษาผลตอบแทนการลงทุน (Return-On-Investment หรือ ROI) ในอุตสาหกรรมดนตรี แต่ผมขอเสนอข้อมูลที่ผมมีดังนี้
งาน Bangkok Music City (BMC) ที่ผมเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งและร่วมจัดงานนั้น ใน พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2019) ได้รับการสนับสนุนจากทาง สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ หรือ TCEB เพื่อจัดจ้างบริษัทวิจัยด้านการตลาดชื่อว่า Brainfield มาทำการศึกษาและคำนวณผลกระทบเชิงเศรษฐศาสตร์สังคม (Socioeconomic Impact) พบว่างานดังกล่าวสามารถสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจถึง 208.65 ล้านบาท และสามารถประมาณการว่ารัฐบาลจัดเก็บภาษีได้ถึง 28.54 ล้านบาท ซึ่งบอกตามตรงแล้ว มากกว่าค่าจัดงานทั้งหมดหลายเท่าเลยทีเดียว

ในฐานะผู้จัดงาน ผมคิดว่านี่เป็นงานประเภทที่จะสามารถช่วยส่งเสริมระบบนิเวศน์ของอุตสาหกรรมดนตรีไทยที่ดีขึ้นได้ ทั้งด้านการศึกษา การเชื่อมต่อเครือข่ายธุรกิจ อีกทั้งการแสดงศักยภาพของศิลปินไทยแก่นักธุรกิจดนตรีต่างประเทศที่มาร่วมงาน แม้ว่าตอนนี้ยังได้รับการสนับสนุนไม่เพียงพอทั้งจากทั้งภาครัฐและเอกชน ผมหวังว่าการพิสูจน์ด้วยการเก็บข้อมูลและนำเสนอผลการศึกษาวิจัยจะช่วยให้รัฐบาลเห็นถึงความสำคัญของงานดังกล่าว และเป็นพื้นฐานของเหตุผลที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุนอย่างจริงจังต่อไปในอนาคต
บทสรุป
ผมมีความเชื่ออย่างแรงว่าดนตรีและศิลปะควรมีความหลากหลายมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพราะมันจะช่วยทำให้ความสร้างสรรค์และจินตนาการของประชากรนั้นเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นการที่อุตสาหกรรมดนตรีจะอยู่ภายใต้ระบบทุนนิยมอย่างเดียวนั้น จะทำให้เกิดการแข่งขันที่จบลงด้วยการมีผู้เล่นรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย และความหลากหลายของดนตรีก็จะลดลงดังที่ได้อ้างเหตุและผลไปแล้วข้างต้น โดยวิธีการหนึ่งที่สามารถทำได้ก็คือการออกกฎหมายให้บริษัทต่าง ๆ รวมทั้งคนทั่วไป สามารถขอลดหย่อนหรือขอคืนภาษีได้หากบริจาคเงินสนับสนุนหน่วยงานสนับสนุนศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ อย่างเช่นสิงคโปร์ที่มีโครงการเช่น M.A.D. for SAM และ stART Fund ที่คืนภาษีให้สูงถึง 250% เป็นต้น
เพราะฉะนั้น หากรัฐบาลทราบแล้วว่าดนตรีและศิลปะก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม คุณภาพของประชากร และความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศ รัฐบาลควรนำเงินภาษีส่วนหนึ่งมาใช้ในการจุนเจือศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะทุก ๆ แขนง อีกทั้งควรต้องให้อิสรภาพในการสร้างสรรค์ แม้บางครั้งจะขัดกับแนวทางและนโยบายบางอย่างของรัฐบาลเองก็ตาม เพราะการขัดขวางศิลปะคือการขัดขวางการสื่อสาร การขัดขวางการสื่อสารคือการลิดรอนสิทธิพื้นฐานของประชาชน และการลิดรอนสิทธิพื้นฐานของประชาชนก็ไม่อาจทำให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้าอย่างแท้จริงได้เพราะประชาชนคือแรงขับเคลื่อนสำคัญที่สุดของประเทศนั่นเอง
ผู้เขียน: พาย ปิยะพงษ์ หมื่นประเสริฐดี